ปูนแดง คือ ปูนที่มีส่วนผสมของปูนขาวกับผงขมิ้นร่วมกับเกลือป่นภายใต้สภาพที่มีความชื้นหรือมีการผสมน้ำ ซึ่งจะได้ก้อนปูนที่มีสีแดงส้มที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาของด่างจากปูนขาวกับสารสีเหลืองส้มของขมิ้น
คำว่า ปูนแดง เป็นคำเรียกลักษณะสีของปูนที่ปรากฏ คือ มีสีแดงส้ม แต่ทั้งนี้ สีที่ผสมได้อาจเป็นสีส้มอมแดงก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของผงขมิ้นที่ใช้ทำส่วนผสม เพราะขมิ้นบางสายพันธุ์จะให้สีเหลือง ซึ่งหากนำมาผสมจะได้ปูนแดงเป็นสีส้มอมแดง แต่บางพันธุ์ที่มีสีเหลืองอมส้มหรอมีสีส้มมาก เมื่อผสมกับปูนขาวแล้วก็จะได้ปูนแดงเป็นสีแดงอมส้มที่มีสีแดงที่เข้มข้น
ประโยชน์ของปูนแดง
1. ปูนแดงนิยมใช้ทำน้ำปูนใสสำหรับใช้ประโยชน์ในด้านอาหาร ทั้งในระดับอุตสาหกรรม และระดับครัวเรือน ได้แก่ – ใช้ทำขนมหรือของหวาน เช่น ขนมเปียกปูน ลอดช่อง เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ขนมมีความแข็งขึ้น มีความกรอบขึ้น
รวมถึงช่วยในการต้านเชื้อจุลินทรีย์ ป้องกันอาหารบูดเน่า และเป็นแหล่งช่วยเสริมแคลเซียมให้แก่ร่างกาย
– ใช้ในการแช่ล้างผักหรือผลไม้ ซึ่งช่วยในการล้างยาฆ่าแมลง และช่วยตกตะกอนโลหะหนัก – ใช้หมักเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ที่เปื่อยยุ่ยง่ายเมื่อถูกความร้อน ช่วยให้เนื้อคงรูปเดิมได้ดี 2. ปูนแดงใช้ประโยชน์ในทางยา ได้แก่ – การนำปูนแดงมาทาพอกบริเวณข้อมือ ข้อเข่า เพื่อช่วยลดอาการปวด และลดอาการอักเสบ หรือ นำปูนแดงมาทา พอกรักษาแผล ช่วยให้แผลแห้ง ลดน้ำหนองไหล – ปูนแดงนำมาทาบางๆบนใบพลูสำหรับเคี้ยวกับหมาก ช่วยรักษาโรคฟันผุ และช่วยให้ฟันแข็งแรง
– รักษาฝี
ถ้าฝีที่เริ่มเป็น ให้ทาปูนแดง บริเวณที่เป็นฝีให้ทั่ว รวม ทั้งหัวฝีด้วย หัวฝีจะแห้งในที่สุดจะยุบ
แต่ถ้าฝีบวมมากหรือเป็นมานาน แล้ว ให้
ทาเฉพาะฐานฝี อย่าทาทับหัวฝี เพราะจะทำให้ปวดมาก เมื่อปูน แห้งลงจะรัดทำให้หนองและหัวฝีออกเร็ว แลหายเร็วขึ้น วิธีที่ใช้ง่าย ที่สุดก็คือ เอาปูนมาผสมน้ำพอข้นๆ ทาแต่วิธีนี้ปุนจะแห้งเร็วเกินไป จึงมักใช้น้ำตาลปีป หรือน้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อม จำนวนเท่ากับปูนแดง ผสมให้เข้ากัน แล้วจึงทา จะทำให้ปูนแห้งช้าขึ้น ทาวันละ ๒-๓ ครั้ง
– แผลไฟไหม้ ใช้ปูนแดง (
ต้องไม่มีสีเสียดปน) นำมาป้ายบริเวณ ที่ถูกน้ำร้อนลวก หรือไฟลวก ป้ายให้หนาๆหน่อย
และเมื่อหายก็จะไม่ มีแผล
3. ปูนแดงใช้ประโยชน์ในทางการเกษตร ได้แก่เป็นให้เห็นอีกด้วย หรือใช้ปุนแดงหรือปูนขาวก้อนเท่านิ้วหัวแม่ มือ ใส่ในน้ำเย็น ๑ แก้ว คนให้ทั่ว ตั้งไว้ให้นอนก้น เทน้ำใสผสมกับน้ำ มัน มะพร้าว (หรือน้ำมันถั่ว) ทีละน้อยๆ เติมไปคนไป จนน้ำมัน กลาย เป็นฝ้าขาวไปหมด จึงหยุดคน น้ำมันผสมเช่นนี้ ใช้ทาแก้แผลถูก น้ำร้อนลวก ได้ดี – ใช้ปูนแดงทาปลายกิ่งสำหรับการปักชำสำหรับช่วยให้รากงอกเร็ว และป้องกันการเน่าของรากจากเชื้อรา – ใช้ปูนแดงทาแผลของเปลือกต้นไม้ เพื่อช่วยป้องกันเปลือกเน่าจากเชื้อรา และป้องกันด้วงเจาะต้นไม้ – ใช้ในการรักษาสภาพผักหรือผลไม้ให้เก็บได้นานขึ้น ด้วยการฉีดพรมหรือการแช่
การทำปูนแดงหรือผลิตปูนแดง
1. นำหินปูนหรือเปลือกหอยมาเผาไฟ ซึ่งจะใช้วิธีก่อกองไฟด้านล่าง และกองหินปูนไว้ด้านบน ซึ่งจะต้องคอยใส่ฟืนหรือ เชื้อเพลิงให้ได้ความร้อนอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ ตามวิถีของชาวบ้านมักจะเผาประมาณ 3 วัน 3 คืน สำหรับเตาขนาด เล็ก แต่หากเตาขนาดใหญ่อาจใช้เวลานานมากกว่า 1 สัปดาห์ 2. คอยมั่นตรวจสภาพการสุกขอหินปูน โดยการสังเกตง่ายๆ คือ เปลวไฟที่แทรกออกจากหินปูนจะมีเปลวสีทอง และก้อน หินปูนมีสีขาวทั่วก้อน ซึ่งจะต่างกับก่อนเผาที่มีลักษณะเป็นสีของหิน นอกจากนั้น อาจใช้วิธีนำบางก้อนที่เล็กๆออกมา บีบดู หากบีบแล้วแตกเป็นผงละเอียดก็แสดงว่าหินปูนสุกเป็นปูนขาวได้ที่แล้ว หลังจากนั้น ค่อยลดเชื้อเพลิงลงให้ดับ และปล่อยให้เย็น ก่อนจะลำเลียงออกจากเตา ซึ่งในขั้นนี้จะเรียกหินปูนที่เผาแล้วว่า ปูนก้อน 3. นำปูนก้อนเข้าเครื่องบดหรืออาจใช้วิธีการทุบ (ปริมาณน้อย) จนได้ผงสีขาวละเอียด ซึ่งจะเรียกผงนี้ว่า
ปูนขาว(ประกอบด้วยแคลเซียม,Ca และออกซิเจน,O)
4. นำผงปูนขาวเทลงใส่บ่อผสมหรือที่เรียกว่าบ่อกรองที่ก่อด้วยอิฐมอญ อาจเป็นบ่อสีเหลี่ยมหรือบ่อวงกลม ลึกประมาณ
1 เมตร หรือ ขึ้นกับปริมาณที่ต้องการผสม
5. นำผงขมิ้น และเกลือเทลงผสม พร้อมใช้จอบหรือพลั่วคลุกให้เข้ากัน พร้อมกับเติมน้ำลงคลุกผสมจนได้น้ำปูนเหลวที่มี สีส้มแดงหรือแดงเรื่อตามชนิดของขมิ้นที่ใช้ ซึ่งขณะที่เติมน้ำลงผสมจะเกิดความร้อนแผ่ออกมามาก ผู้ทำหน้าที่คลุก ผสม ควรระวังห้ามลงผสมในบ่อ โดยไม่สวมรองเท้าบูท หรือ ให้ใช้จอบยืนคลุกผสมเหนือบ่อจะปลอดภัยกว่า 6. เมื่อทำการกวนผสมจนเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ให้ตักน้ำปูนแดงมากรองผ่านผ้าขาวบางลงในบ่อตาก เพื่อกรองตะกอนหรือ เศษวัสดุอื่นออก จากนั้น จึงปล่อยให้น้ำแห้งประมาณ 3-4 วัน จะได้เนื้อปูนแดงที่มีลักษณะเกือบเป็นโคลน ซึ่งเรียกปูน ที่จับตัวกันในบ่อว่า ปูนแดง 7. หลังจากนั้น ก็ทำการตักเนื้อปูนแดงใส่ถุงบรรจุหรืออาจปั้นเป็นก้อน แล้วนำมาผึ่งแดดให้แห้ง ก็ส่งจำหน่าย
สนใจ ปูนแดงขมิิ้นแท้ โคราช โทร 0836076860
(แหล่งที่มา: ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยและพระพุทธศาสนา)
http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2010/12/D10056405/D10056405.html
ขอบคุณภาพจาก www.google.com
|
วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
อัศจรรย์! ปูนแดง (กินกับหมาก) ทั้งกินก็ได้ ทารักษาโรคก็ได้ ทั้งกินทั้งทากันเลย ควรมีติดบ้าน
วันพฤหัสบดีที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2560
อาการเพลียของวัยทำงาน 'Social Jetlag'
9 กิจวัตรประจำวันผิด ๆ ที่ทำให้แก่เร็ว ความชรามาแน่ ถ้ายังทำแบบนี้
กิจวัตรประจำวันที่ทำให้แก่เร็ว รู้สึกว่าตัวเองแก่ทั้ง ๆ ที่อายุยังไม่เท่าไรใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นสำรวจตัวเองกันหน่อยว่าคุณมีพฤติกรรมแบบนี้หรือเปล่า
เชื่อว่าต้องมีหลาย ๆ คนที่กำลังรู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจกับปัญหาริ้วรอย หรืออาการเจ็บป่วย ปวดเมื่อยตามร่างกายที่เกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังอายุไม่เท่าไร บ้างก็คิดว่าเกิดจากมลพิษภายนอก ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ปัญหาอาจจะเกิดขึ้นจากกิจวัตรประจำวันที่คุณทำจนเคยชินก็เป็นได้ ลองหันกลับมาเช็กตัวเองดูสิว่าในแต่ละวันคุณทำสิ่งเหล่านี้อยู่หรือเปล่า ถ้าใช่ละก็ บอกได้เลยว่านั่นล่ะคือสาเหตุของปัญหาทั้งหมดเลย
1. รับประทานแต่อาหารที่ไม่มีประโยชน์
วิถีชีวิตที่เร่งรีบทำให้คนเราเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์น้อยลง หันไปพึ่งพาอาหารที่รับประทานง่ายและรวดเร็ว อย่างเช่นบรรดาอาหารขยะ ซึ่งนอกจากจะมีแคลอรีสูงแล้ว ก็ยังอุดมไปด้วยเกลือ น้ำตาล และไขมันที่ทำลายสุขภาพ และส่งผลให้คุณแก่ก่อนวัย อีกทั้งยังอาจนำมาสู่โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ทั้งเบาหวาน โรคอ้วน หรือโรคหัวใจ เป็นต้น ดังนั้นหันกลับมากินอาหารที่ประโยชน์ต่อสุขภาพกันดีกว่าค่ะ แค่เพียงเพิ่มผัก ผลไม้ เข้าไปในอาหารแต่ละมื้อให้มากขึ้น ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ เท่านี้ก็จะช่วยให้คุณมีสุขภาพดีและดูอ่อนเยาว์ขึ้นกว่าเดิมเป็นไหน ๆ แล้วล่ะ
2. เครียดมากไป
ความเครียดเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพหลาย ๆ อย่างทั้งในระยะสั้น และระยะยาว เพราะเมื่อเราเครียด ก็จะทำให้ฮอร์โมนความเครียดเพิ่มสูงขึ้นและเข้าไปเร่งอายุของเซลล์ให้เสื่อมสภาพเร็วขึ้น แถมยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการปวดไมเกรนอีกด้วย ยิ่งถ้าคุณเครียดบ่อย ๆ จนกลายเป็นความเครียดสะสม ความเครียดก็จะทำให้คุณดูแก่ลง และนำมาสู่โรคภัยไข้เจ็บอีกมากมายก่ายกองเลยเชียว
3. พักผ่อนไม่เพียงพอ
การนอนหลับสำคัญกับร่างกายอย่างมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย แต่ถ้าหากคุณนอนหลับไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลเสียทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นรอยคล้ำที่ขอบตา ผิวพรรณที่หม่นหมอง ริ้วรอยแห่งวัย และอาการอ่อนเพลีย แถมยังจะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนความเครียดมากขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นความอยากอาหารโดยเฉพาะอาหารที่มีรสชาติหวาน หรืออาหารมัน ๆ แก่เร็วแถมยังอ้วนอีก แบบนี้ไม่คุ้มเลยเนอะ
4. ออกกำลังกายแบบผิด ๆ
หลายคนคิดว่าการออกกำลังกายทำให้ดูเด็กลง แต่จริง ๆ แล้วการออกกำลังกายแบบผิด ๆ สามารถทำให้แก่เร็วได้ไม่แพ้กับการไม่ออกกำลังกายเลยล่ะค่ะ เพราะการออกกำลังกายแบบหักโหม หรือเข้มงวดมากเกินไป แทนที่สารโดพามีนซึ่งเป็นสารความสุขจะหลั่งออกมาและเป็นผลดีต่อร่างกาย กลับจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนความเครียดออกมาแทน เมื่อฮอร์โมนนี้ไปสะสมตามกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ มากเข้าก็จะทำให้รู้สึกอ่อนล้า ปวดเมื่อยตามตัว แถมยังนำมาสู่การเกิดริ้วรอยแห่งวัย ไม่อยากแก่เร็วก็ควรที่จะออกกำลังกายอย่างพอดีจะดีกว่านะคะ
5. สูบบุหรี่
หลายคนคงจะพอทราบกันแล้วว่าบุหรี่นั้นอุดมด้วยสารพิษชนิดใดบ้าง ซึ่งถ้าสูบบุหรี่เป็นประจำก็จะทำให้สารพิษเหล่านี้สะสมในร่างกายเป็นจำนวนมาก และก่อให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย อีกทั้งยังเข้าไปทำลายสุขภาพ นำพามาสู่โรคร้ายต่าง ๆ อาทิ โรคถุงลมโป่งพอง หรือโรคมะเร็งปอด ถ้าไม่อยากตายผ่อนส่งด้วยมะเร็งละก็ เลิกสูบเลยเถอะ
6. ติดแอลกอฮอล์
หากคุณคือคนหนึ่งที่ชอบดื่มเป็นชีวิตจิตใจก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดคุณถึงได้ดูแก่กว่าวัย เพราะการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ภายในร่างกายเกิดการอักเสบ แถมยังเข้าไปชะลอระบบการเผาผลาญ เพิ่มความตึงเครียดในร่างกายจนทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย ผิวพรรณแห้งกร้าน ดูไม่สดชื่นสดใส นอกจากนี้สารที่อยู่ในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ยังอาจนำมาสู่โรคร้าย อาทิ โรคตับ หรือโรคมะเร็งได้อีกต่างหาก
7. อยู่กลางแดดแรง ๆ นานเกินไป
แสงแดดในปัจจุบันนี้เรียกว่าเป็นอันตรายต่อผิวเลยก็ว่าได้ เพราะในแสงแดดนั้นมีรังสีอัลตราไวโอเลต ที่สามารถเข้าไปทำลายเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดริ้วรอยแห่งวัย และถ้ายิ่งอยู่กลางแดดแรง ๆ นานมากเกินไปก็อาจจะทำให้ยิ่งเสี่ยงกับมะเร็งผิวหนังด้วย รู้แบบนี้แล้วหากคิดจะออกไปกลางแดดควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด หรือทาครีมกันแดดไปด้วยนะคะ
8. มีบุคลิกภาพที่ผิด
การนั่ง ยืน เดิน หรือนอนด้วยท่าทางที่ผิด ๆ ก็ทำให้แก่เร็วได้เหมือนกัน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อทำงานหนักขึ้น ข้อต่อต่าง ๆ ก็จะรับน้ำหนักในลักษณะผิด ๆ จนทำให้ข้อต่ออ่อนแอลงก่อนวัย และนำมาสู่อาการปวดเมื่อยตามร่างกายคล้ายกับคนแก่นั่นเองค่ะ
9. ไม่ใส่ใจสุขภาพ
โรคภัยไข้เจ็บ เป็นปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราแก่ลงไม่รู้ตัว แต่ก็มีหลายคนที่ให้ความสนใจเรื่องนี้น้อยเกินไป ไม่ยอมไปตรวจสุขภาพ และไม่สนใจสัญญาณเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย เพราะคิดว่าตัวเองแข็งแรงและไม่เป็นอะไรง่าย ๆ กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินแก้ และต้องเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงในที่สุด ฉะนั้นอย่าได้ละเลยความผิดปกติทางร่างกายเล็ก ๆ น้อย ๆ เลยนะคะ หมั่นเอาใจใส่สุขภาพกันสักหน่อย หรือตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้งก็ช่วยให้เราลดความเสี่ยงโรคร้ายได้นะ
มาถึงตรงนี้แล้ว ยอมรับกันมาซะดี ๆ เลยค่ะว่าคุณมีพฤติกรรมเหล่านี้ไปทั้งหมดกี่ข้อ รีบเปลี่ยนแปลงตัวเองเดี๋ยวนี้เลยถ้าไม่อยากจะดูแก่กว่าวัยไปมากกว่านี้ สุขภาพของเราจะดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง อย่าให้ความเคยชินมาทำร้ายสุขภาพจนสายเกินแก้ เพราะผลที่ได้รับไม่คุ้มกันเลยล่ะค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
davidwolfe.com
urbanhealth.com.my
prevention.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)