ศูนย์รวมสถานพยาบาล กับสร้างสุข สุขที่คุณเลือกได้
Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

อัศจรรย์! ปูนแดง (กินกับหมาก) ทั้งกินก็ได้ ทารักษาโรคก็ได้ ทั้งกินทั้งทากันเลย ควรมีติดบ้าน

ปูนแดง คือ ปูนที่มีส่วนผสมของปูนขาวกับผงขมิ้นร่วมกับเกลือป่นภายใต้สภาพที่มีความชื้นหรือมีการผสมน้ำ ซึ่งจะได้ก้อนปูนที่มีสีแดงส้มที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาของด่างจากปูนขาวกับสารสีเหลืองส้มของขมิ้น

คำว่า ปูนแดง เป็นคำเรียกลักษณะสีของปูนที่ปรากฏ คือ มีสีแดงส้ม แต่ทั้งนี้ สีที่ผสมได้อาจเป็นสีส้มอมแดงก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของผงขมิ้นที่ใช้ทำส่วนผสม เพราะขมิ้นบางสายพันธุ์จะให้สีเหลือง ซึ่งหากนำมาผสมจะได้ปูนแดงเป็นสีส้มอมแดง แต่บางพันธุ์ที่มีสีเหลืองอมส้มหรอมีสีส้มมาก เมื่อผสมกับปูนขาวแล้วก็จะได้ปูนแดงเป็นสีแดงอมส้มที่มีสีแดงที่เข้มข้น


ประโยชน์ของปูนแดง
1. ปูนแดงนิยมใช้ทำน้ำปูนใสสำหรับใช้ประโยชน์ในด้านอาหาร ทั้งในระดับอุตสาหกรรม และระดับครัวเรือน ได้แก่
    – ใช้ทำขนมหรือของหวาน เช่น ขนมเปียกปูน ลอดช่อง เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ขนมมีความแข็งขึ้น มีความกรอบขึ้น
       รวมถึงช่วยในการต้านเชื้อจุลินทรีย์ ป้องกันอาหารบูดเน่า และเป็นแหล่งช่วยเสริมแคลเซียมให้แก่ร่างกาย
    – ใช้ในการแช่ล้างผักหรือผลไม้ ซึ่งช่วยในการล้างยาฆ่าแมลง และช่วยตกตะกอนโลหะหนัก
    – ใช้หมักเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ที่เปื่อยยุ่ยง่ายเมื่อถูกความร้อน ช่วยให้เนื้อคงรูปเดิมได้ดี
2. ปูนแดงใช้ประโยชน์ในทางยา ได้แก่
    – การนำปูนแดงมาทาพอกบริเวณข้อมือ ข้อเข่า เพื่อช่วยลดอาการปวด และลดอาการอักเสบ หรือ นำปูนแดงมาทา
       พอกรักษาแผล ช่วยให้แผลแห้ง ลดน้ำหนองไหล
    – ปูนแดงนำมาทาบางๆบนใบพลูสำหรับเคี้ยวกับหมาก ช่วยรักษาโรคฟันผุ และช่วยให้ฟันแข็งแรง
        รักษาฝี ถ้าฝีที่เริ่มเป็น ให้ทาปูนแดง บริเวณที่เป็นฝีให้ทั่ว รวม ทั้งหัวฝีด้วย หัวฝีจะแห้งในที่สุดจะยุบ แต่ถ้าฝีบวมมากหรือเป็นมานาน แล้ว ให้ 
           ทาเฉพาะฐานฝี อย่าทาทับหัวฝี เพราะจะทำให้ปวดมาก เมื่อปูน แห้งลงจะรัดทำให้หนองและหัวฝีออกเร็ว แลหายเร็วขึ้น วิธีที่ใช้ง่าย ที่สุดก็คือ 
           เอาปูนมาผสมน้ำพอข้นๆ ทาแต่วิธีนี้ปุนจะแห้งเร็วเกินไป จึงมักใช้น้ำตาลปีป หรือน้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อม จำนวนเท่ากับปูนแดง ผสมให้เข้ากัน
           แล้วจึงทา จะทำให้ปูนแห้งช้าขึ้น ทาวันละ ๒-๓ ครั้ง
    – แผลไฟไหม้ ใช้ปูนแดง ( ต้องไม่มีสีเสียดปน) นำมาป้ายบริเวณ ที่ถูกน้ำร้อนลวก หรือไฟลวก ป้ายให้หนาๆหน่อย และเมื่อหายก็จะไม่ มีแผล
           เป็นให้เห็นอีกด้วย หรือใช้ปุนแดงหรือปูนขาวก้อนเท่านิ้วหัวแม่ มือ ใส่ในน้ำเย็น ๑ แก้ว คนให้ทั่ว ตั้งไว้ให้นอนก้น เทน้ำใสผสมกับน้ำ มัน
           มะพร้าว (หรือน้ำมันถั่ว) ทีละน้อยๆ เติมไปคนไป จนน้ำมัน กลาย เป็นฝ้าขาวไปหมด จึงหยุดคน น้ำมันผสมเช่นนี้ ใช้ทาแก้แผลถูก น้ำร้อนลวก
           ได้ดี
3. ปูนแดงใช้ประโยชน์ในทางการเกษตร ได้แก่
    – ใช้ปูนแดงทาปลายกิ่งสำหรับการปักชำสำหรับช่วยให้รากงอกเร็ว และป้องกันการเน่าของรากจากเชื้อรา
    – ใช้ปูนแดงทาแผลของเปลือกต้นไม้ เพื่อช่วยป้องกันเปลือกเน่าจากเชื้อรา และป้องกันด้วงเจาะต้นไม้
    – ใช้ในการรักษาสภาพผักหรือผลไม้ให้เก็บได้นานขึ้น ด้วยการฉีดพรมหรือการแช่

การทำปูนแดงหรือผลิตปูนแดง
1. นำหินปูนหรือเปลือกหอยมาเผาไฟ ซึ่งจะใช้วิธีก่อกองไฟด้านล่าง และกองหินปูนไว้ด้านบน ซึ่งจะต้องคอยใส่ฟืนหรือ
    เชื้อเพลิงให้ได้ความร้อนอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ ตามวิถีของชาวบ้านมักจะเผาประมาณ 3 วัน 3 คืน สำหรับเตาขนาด
    เล็ก แต่หากเตาขนาดใหญ่อาจใช้เวลานานมากกว่า 1 สัปดาห์
2. คอยมั่นตรวจสภาพการสุกขอหินปูน โดยการสังเกตง่ายๆ คือ เปลวไฟที่แทรกออกจากหินปูนจะมีเปลวสีทอง และก้อน
    หินปูนมีสีขาวทั่วก้อน ซึ่งจะต่างกับก่อนเผาที่มีลักษณะเป็นสีของหิน นอกจากนั้น อาจใช้วิธีนำบางก้อนที่เล็กๆออกมา
    บีบดู หากบีบแล้วแตกเป็นผงละเอียดก็แสดงว่าหินปูนสุกเป็นปูนขาวได้ที่แล้ว หลังจากนั้น ค่อยลดเชื้อเพลิงลงให้ดับ
    และปล่อยให้เย็น ก่อนจะลำเลียงออกจากเตา ซึ่งในขั้นนี้จะเรียกหินปูนที่เผาแล้วว่า ปูนก้อน
3. นำปูนก้อนเข้าเครื่องบดหรืออาจใช้วิธีการทุบ (ปริมาณน้อย) จนได้ผงสีขาวละเอียด ซึ่งจะเรียกผงนี้ว่า
    ปูนขาว(ประกอบด้วยแคลเซียม,Ca และออกซิเจน,O)
4. นำผงปูนขาวเทลงใส่บ่อผสมหรือที่เรียกว่าบ่อกรองที่ก่อด้วยอิฐมอญ อาจเป็นบ่อสีเหลี่ยมหรือบ่อวงกลม ลึกประมาณ
    1 เมตร หรือ ขึ้นกับปริมาณที่ต้องการผสม
5. นำผงขมิ้น และเกลือเทลงผสม พร้อมใช้จอบหรือพลั่วคลุกให้เข้ากัน พร้อมกับเติมน้ำลงคลุกผสมจนได้น้ำปูนเหลวที่มี 
    สีส้มแดงหรือแดงเรื่อตามชนิดของขมิ้นที่ใช้ ซึ่งขณะที่เติมน้ำลงผสมจะเกิดความร้อนแผ่ออกมามาก ผู้ทำหน้าที่คลุก
    ผสม ควรระวังห้ามลงผสมในบ่อ โดยไม่สวมรองเท้าบูท หรือ ให้ใช้จอบยืนคลุกผสมเหนือบ่อจะปลอดภัยกว่า
6. เมื่อทำการกวนผสมจนเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ให้ตักน้ำปูนแดงมากรองผ่านผ้าขาวบางลงในบ่อตาก เพื่อกรองตะกอนหรือ
    เศษวัสดุอื่นออก จากนั้น จึงปล่อยให้น้ำแห้งประมาณ 3-4 วัน จะได้เนื้อปูนแดงที่มีลักษณะเกือบเป็นโคลน ซึ่งเรียกปูน
    ที่จับตัวกันในบ่อว่า ปูนแดง
7. หลังจากนั้น ก็ทำการตักเนื้อปูนแดงใส่ถุงบรรจุหรืออาจปั้นเป็นก้อน แล้วนำมาผึ่งแดดให้แห้ง ก็ส่งจำหน่าย

สนใจ ปูนแดงขมิิ้นแท้ โคราช โทร 0836076860

(แหล่งที่มา: ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยและพระพุทธศาสนา)
http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2010/12/D10056405/D10056405.html
ขอบคุณภาพจาก www.google.com


วันพฤหัสบดีที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2560

อาการเพลียของวัยทำงาน 'Social Jetlag'


             
              สำหรับมนุษย์เงินเดือนคงเข้าใจอาการง่วงเหงาหาวนอนในเวลาทำงานเป็นอย่างดี ซึ่งบางทีเราก็คิดว่าตัวเองพักผ่อนเต็มที่แล้ว แต่ทำไมยังรู้สึกง่วงอีก ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับอาการนี้ออกมาแล้ว 

                                     

              
         โดยการรู้สึกง่วงนอนตลอดเวลาที่ทำงาน เหมือนมีอาการเพลียตลอดทั้งวัน ลักษณะนี้คุ้น ๆ กับอาการ Social Jet lag ที่วัยทำงานส่วนใหญ่กำลังเป็นอยู่ หลายคนอาจรู้จักอาการ Jet lag ว่าเป็นอาการอ่อนเพลียที่เกิดขึ้นหลังการเดินทางข้ามโซนเวลาที่ต่างกันมาก ๆ ซึ่งนาฬิกาในร่างกายอาจปรับตัวตามไม่ทัน แต่แม้จะไม่ได้เดินทางข้ามซีกโลกไปไหน อาการ Jet lag ก็เกิดขึ้นกับคนวัยทำงานได้ โดยที่ทางการแพทย์เรียกอาการง่วงเพลียตลอดทั้งวันนี้ว่า Social Jet lag

          ภาวะ Social Jet lag ถูกระบุขึ้นมาครั้งแรกเมื่อปี 2006 โดยเป็นการศึกษาวิจัยจากสถาบันจิตวิทยาการแพทย์ มหาวิทยาลัยแห่งมิวนิก ประเทศเยอรมนี ซึ่งได้อธิบายภาวะนี้ว่า Social Jet lag เป็นภาวะที่ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียและง่วงนอนเรื้อรังเนื่องจากการนอนและตื่นผิดเวลาในช่วงวันหยุด

             ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ วัยทำงานส่วนใหญ่มักจะมีตารางเวลาตื่น เวลาทำงาน และเวลาเข้านอนที่เป็นแพทเทิร์นเดิม ๆ อยู่แล้ว แต่ในคืนวันศุกร์หรือวันหยุดสุดสัปดาห์ก็มักจะใช้เวลาในค่ำคืนยาวนานกว่าปกติ นอนดึกขึ้น ปาร์ตี้คลายเครียดจนเกือบเช้า หรือแม้กระทั่งการนอนยาว ๆ ในวันหยุดพักผ่อน ซึ่งรูปแบบการดำเนินชีวิตแบบนี้ส่งผลให้นาฬิกาชีวิตของร่างกายแปรปรวนหนักมาก คล้ายกับการเดินทางข้ามผ่านโซนเวลาแบบซ้ำไปซ้ำมา และมันอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้มากกว่าที่คิด

          โดยระดับเบา ภาวะ Social Jet lag หรือการใช้ชีวิตสวนทางกับนาฬิกาชีวิตแบบนอนดึก ตื่นสาย อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียเรื้อรังตามมาในเช้าวันทำงาน และอาจลากยาวให้รู้สึกง่วงนอน อ่อนเพลียขณะทำงานได้ทั้งสัปดาห์ นอกจากนี้ Till Roenneberg นักวิจัยจากสถาบันจิตวิทยาการแพทย์ มหาวิทยาลัยแห่งมิวนิก ยังเผยด้วยว่า ผู้ที่มีภาวะ Social Jet lag จะเสี่ยงต่อโรคอ้วนเพิ่มขึ้น 33% เนื่องจากความอ่อนเพลียจะลดแรงจูงใจในการเคลื่อนไหวร่างกายหรือออกกำลังกาย และยังอาจทำให้รู้สึกอยากดูแลตัวเองลดลงด้วย ซึ่งการดูแลตัวเองในที่นี้ก็หมายถึงการเลือกกินอาหารเพื่อสุขภาพอะไรแนว ๆ นั้นค่ะ

            แต่ที่หนักไปกว่านั้น Roenneberg ยังเผยว่า ยิ่งเราใช้ชีวิตที่เสี่ยงต่อภาวะ Social Jet lag มากเท่าไร ร่างกายจะยิ่งต้องการบุหรี่ (ในคนที่สูบบุหรี่อยู่แล้ว) แอลกอฮอล์ (ในคนที่ดื่มอยู่แล้ว) และคาเฟอีนมากขึ้น ซึ่งก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังอย่างโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และที่สำคัญ การที่รู้สึกง่วงเพลียตลอดทั้งวันยังจะลดประสิทธิภาพการทำงานของเราอีกด้วย

          อย่างไรก็ตาม ภาวะ Social Jet lag ก็ป้องกันและรักษาได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเราเองค่ะ โดยสถาบันเวชศาสตร์การนอนแห่งสหรัฐอเมริกา (American Academy of Sleep Medicine) แนะนำว่า เราควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้ 7 ชั่วโมงในทุกวัน และพยายามเข้านอนและตื่นในเวลาเดียวกันเป็นประจำ เพื่อเซตนาฬิกาชีวิตให้กลับสู่โหมดปกตินั่นเอง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
webmd
popsugar
Reader’s digest

9 กิจวัตรประจำวันผิด ๆ ที่ทำให้แก่เร็ว ความชรามาแน่ ถ้ายังทำแบบนี้

กิจวัตรประจำวันที่ทำให้แก่เร็ว

          กิจวัตรประจำวันที่ทำให้แก่เร็ว รู้สึกว่าตัวเองแก่ทั้ง ๆ ที่อายุยังไม่เท่าไรใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นสำรวจตัวเองกันหน่อยว่าคุณมีพฤติกรรมแบบนี้หรือเปล่า  

           เชื่อว่าต้องมีหลาย ๆ คนที่กำลังรู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจกับปัญหาริ้วรอย หรืออาการเจ็บป่วย ปวดเมื่อยตามร่างกายที่เกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังอายุไม่เท่าไร บ้างก็คิดว่าเกิดจากมลพิษภายนอก ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ปัญหาอาจจะเกิดขึ้นจากกิจวัตรประจำวันที่คุณทำจนเคยชินก็เป็นได้ ลองหันกลับมาเช็กตัวเองดูสิว่าในแต่ละวันคุณทำสิ่งเหล่านี้อยู่หรือเปล่า ถ้าใช่ละก็ บอกได้เลยว่านั่นล่ะคือสาเหตุของปัญหาทั้งหมดเลย

1. รับประทานแต่อาหารที่ไม่มีประโยชน์ 

           วิถีชีวิตที่เร่งรีบทำให้คนเราเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์น้อยลง หันไปพึ่งพาอาหารที่รับประทานง่ายและรวดเร็ว อย่างเช่นบรรดาอาหารขยะ ซึ่งนอกจากจะมีแคลอรีสูงแล้ว ก็ยังอุดมไปด้วยเกลือ น้ำตาล และไขมันที่ทำลายสุขภาพ และส่งผลให้คุณแก่ก่อนวัย อีกทั้งยังอาจนำมาสู่โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ทั้งเบาหวาน โรคอ้วน หรือโรคหัวใจ เป็นต้น ดังนั้นหันกลับมากินอาหารที่ประโยชน์ต่อสุขภาพกันดีกว่าค่ะ แค่เพียงเพิ่มผัก ผลไม้ เข้าไปในอาหารแต่ละมื้อให้มากขึ้น ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ เท่านี้ก็จะช่วยให้คุณมีสุขภาพดีและดูอ่อนเยาว์ขึ้นกว่าเดิมเป็นไหน ๆ แล้วล่ะ

กิจวัตรประจำวันที่ทำให้แก่เร็ว

2. เครียดมากไป

           ความเครียดเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพหลาย ๆ อย่างทั้งในระยะสั้น และระยะยาว เพราะเมื่อเราเครียด ก็จะทำให้ฮอร์โมนความเครียดเพิ่มสูงขึ้นและเข้าไปเร่งอายุของเซลล์ให้เสื่อมสภาพเร็วขึ้น แถมยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการปวดไมเกรนอีกด้วย ยิ่งถ้าคุณเครียดบ่อย ๆ จนกลายเป็นความเครียดสะสม ความเครียดก็จะทำให้คุณดูแก่ลง และนำมาสู่โรคภัยไข้เจ็บอีกมากมายก่ายกองเลยเชียว 

กิจวัตรประจำวันที่ทำให้แก่เร็ว

3. พักผ่อนไม่เพียงพอ 

           การนอนหลับสำคัญกับร่างกายอย่างมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย แต่ถ้าหากคุณนอนหลับไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลเสียทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นรอยคล้ำที่ขอบตา ผิวพรรณที่หม่นหมอง ริ้วรอยแห่งวัย และอาการอ่อนเพลีย แถมยังจะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนความเครียดมากขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นความอยากอาหารโดยเฉพาะอาหารที่มีรสชาติหวาน หรืออาหารมัน ๆ แก่เร็วแถมยังอ้วนอีก แบบนี้ไม่คุ้มเลยเนอะ

4. ออกกำลังกายแบบผิด ๆ 

           หลายคนคิดว่าการออกกำลังกายทำให้ดูเด็กลง แต่จริง ๆ แล้วการออกกำลังกายแบบผิด ๆ สามารถทำให้แก่เร็วได้ไม่แพ้กับการไม่ออกกำลังกายเลยล่ะค่ะ เพราะการออกกำลังกายแบบหักโหม หรือเข้มงวดมากเกินไป แทนที่สารโดพามีนซึ่งเป็นสารความสุขจะหลั่งออกมาและเป็นผลดีต่อร่างกาย กลับจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนความเครียดออกมาแทน เมื่อฮอร์โมนนี้ไปสะสมตามกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ มากเข้าก็จะทำให้รู้สึกอ่อนล้า ปวดเมื่อยตามตัว แถมยังนำมาสู่การเกิดริ้วรอยแห่งวัย ไม่อยากแก่เร็วก็ควรที่จะออกกำลังกายอย่างพอดีจะดีกว่านะคะ

กิจวัตรประจำวันที่ทำให้แก่เร็ว

5. สูบบุหรี่

           หลายคนคงจะพอทราบกันแล้วว่าบุหรี่นั้นอุดมด้วยสารพิษชนิดใดบ้าง ซึ่งถ้าสูบบุหรี่เป็นประจำก็จะทำให้สารพิษเหล่านี้สะสมในร่างกายเป็นจำนวนมาก และก่อให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย อีกทั้งยังเข้าไปทำลายสุขภาพ นำพามาสู่โรคร้ายต่าง ๆ อาทิ โรคถุงลมโป่งพอง หรือโรคมะเร็งปอด ถ้าไม่อยากตายผ่อนส่งด้วยมะเร็งละก็ เลิกสูบเลยเถอะ

6. ติดแอลกอฮอล์

           หากคุณคือคนหนึ่งที่ชอบดื่มเป็นชีวิตจิตใจก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดคุณถึงได้ดูแก่กว่าวัย เพราะการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ภายในร่างกายเกิดการอักเสบ แถมยังเข้าไปชะลอระบบการเผาผลาญ เพิ่มความตึงเครียดในร่างกายจนทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย ผิวพรรณแห้งกร้าน ดูไม่สดชื่นสดใส นอกจากนี้สารที่อยู่ในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ยังอาจนำมาสู่โรคร้าย อาทิ โรคตับ หรือโรคมะเร็งได้อีกต่างหาก

กิจวัตรประจำวันที่ทำให้แก่เร็ว

7. อยู่กลางแดดแรง ๆ นานเกินไป

           แสงแดดในปัจจุบันนี้เรียกว่าเป็นอันตรายต่อผิวเลยก็ว่าได้ เพราะในแสงแดดนั้นมีรังสีอัลตราไวโอเลต ที่สามารถเข้าไปทำลายเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดริ้วรอยแห่งวัย และถ้ายิ่งอยู่กลางแดดแรง ๆ นานมากเกินไปก็อาจจะทำให้ยิ่งเสี่ยงกับมะเร็งผิวหนังด้วย รู้แบบนี้แล้วหากคิดจะออกไปกลางแดดควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด หรือทาครีมกันแดดไปด้วยนะคะ 

8. มีบุคลิกภาพที่ผิด

           การนั่ง ยืน เดิน หรือนอนด้วยท่าทางที่ผิด ๆ ก็ทำให้แก่เร็วได้เหมือนกัน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อทำงานหนักขึ้น ข้อต่อต่าง ๆ ก็จะรับน้ำหนักในลักษณะผิด ๆ จนทำให้ข้อต่ออ่อนแอลงก่อนวัย และนำมาสู่อาการปวดเมื่อยตามร่างกายคล้ายกับคนแก่นั่นเองค่ะ

กิจวัตรประจำวันที่ทำให้แก่เร็ว

9. ไม่ใส่ใจสุขภาพ

           โรคภัยไข้เจ็บ เป็นปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราแก่ลงไม่รู้ตัว แต่ก็มีหลายคนที่ให้ความสนใจเรื่องนี้น้อยเกินไป ไม่ยอมไปตรวจสุขภาพ และไม่สนใจสัญญาณเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย เพราะคิดว่าตัวเองแข็งแรงและไม่เป็นอะไรง่าย ๆ กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินแก้ และต้องเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงในที่สุด ฉะนั้นอย่าได้ละเลยความผิดปกติทางร่างกายเล็ก ๆ น้อย ๆ เลยนะคะ หมั่นเอาใจใส่สุขภาพกันสักหน่อย หรือตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้งก็ช่วยให้เราลดความเสี่ยงโรคร้ายได้นะ

           มาถึงตรงนี้แล้ว ยอมรับกันมาซะดี ๆ เลยค่ะว่าคุณมีพฤติกรรมเหล่านี้ไปทั้งหมดกี่ข้อ รีบเปลี่ยนแปลงตัวเองเดี๋ยวนี้เลยถ้าไม่อยากจะดูแก่กว่าวัยไปมากกว่านี้ สุขภาพของเราจะดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง อย่าให้ความเคยชินมาทำร้ายสุขภาพจนสายเกินแก้ เพราะผลที่ได้รับไม่คุ้มกันเลยล่ะค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
davidwolfe.com 
urbanhealth.com.my  
prevention.com